การฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองให้กลับมา
ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัย
ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง (Subdural hemorrhage) เป็นการเกิดเลือดออกบริเวณใต้เยื่อหุ้มสมอง
ชั้นนอก (Dura mater) สาเหตุของภาวะนี้มักเกิดจากการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือการกระทบกระเทือนที่ทำให้เส้น
เลือดในสมองแตก โดยอาการของภาวะนี้สามารถเกิดได้หลายรูปแบบ เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เสียการทรงตัว
ไม่สามารถควบคุมการเดิน รวมถึงอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีภาวะสับสน สูญเสียความทรงจำ เหนื่อยง่าย และง่วง
ซึมภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง เป็นโรคทางระบบประสาทที่รุนแรง ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน โดย
ส่วนมากมักใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อลดความดันในกะโหลกและระบายเลือดที่คั่งใต้เยื่อหุ้มสมอง โดยที่ภาวะนี้มีความชุก
มากถึง 58 คน ใน 100,000 คน พบมากในประชากรที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป เมื่อได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด
แล้ว อาการปวดและเวียนศีรษะมักทุเลาลง แต่อาการสูญเสียการทรงตัวและความสามารถในการเดินยังคงอยู่
ผู้ป่วยโรคนี้จึงต้องได้รับการทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายเพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวัน
ได้ดังเดิม
กรณีศึกษาผู้ป่วยที่แสนปิติ
ผู้ป่วยที่เป็นกรณีศึกษาของแสนปิติในบทความนี้มาด้วยการอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อทั่วลำตัว ไม่
สามารถทรงท่าได้ ควบคุมการใช้งานของแขนและขาทั้ง 2 ข้างไม่ได้ ไม่สามารถนั่งทรงตัวและควบคุมลำคอให้ตั้ง
ตรงได้ ยังคงมีอาการง่วงซึมมากหลังจากได้รับการผ่าตัด ซึ่งเป็นความท้าทายของนักกายภาพบำบัดที่ต้องใช้เทคนิค
การกระตุ้นรูปแบบต่างๆเพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการง่วงซึมสามารถทำกายภาพบำบัดตามคำบอกได้
แผนการรักษากายภาพบำบัดที่แสนปิติเลือกใช้
โปรแกรมออกกำลังกายพื้นฐานบนเตียง
- เพิ่มกำลังกล้ามเนื้อและฝึกความสามารถในการเคลื่อนไหว
- ฝึกการทรงตัวในท่านั่ง โดยเน้นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อคอและลำตัวด้านหน้า-หลัง
ฝึกลุกขึ้นยืนและการเดิน
- เมื่อผู้ป่วยมีความมั่นใจในท่านั่งแล้ว จะเริ่มฝึกลุกขึ้นยืน
- ใช้สัญญะกระตุ้นให้ผู้ป่วยตื่นตัวและใช้งานกล้ามเนื้อได้เต็มที่
- ในสัปดาห์แรก ผู้ป่วยสามารถลุกขึ้นยืนได้โดยมีความช่วยเหลือระดับปานกลาง และเริ่มเดินด้วยไม้เท้าสี่ขา
การวิเคราะห์และปรับปรุงการเดิน
- ใช้วิธีการวิเคราะห์การเดินเพื่อลงรายละเอียดในแผนการรักษากล้ามเนื้อและข้อต่อ
- หลังจากเข้ารับการรักษา 1 เดือน ผู้ป่วยสามารถเดินทรงตัวได้ด้วยตนเอง
- ผลลัพธ์ที่ได้ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันอย่างปลอดภัยและมั่นคงในการเดิน